21 มีนาคม 2554

มี “แฟน” บน Facebook ช่วยธุรกิจของท่านได้

ถึงเวลานี้เวลาพบใครต่อใครเราคงไม่ถามคำถามเชยๆที่ว่า คุณมี Facebook หรือเปล่า เพราะกระแสนิยมของเว็บแห่งนี้ก็คล้ายเบอร์โทรศัพท์มือถือ บางคนมีมากกว่าหนึ่งบัญชีด้วยซ้ำ จะให้ดีควรถามว่าคุณมี เพื่อน ใน Facebook เท่าไหร่แล้วมากกว่า

ต้องยอมรับว่า Facebook ทำให้โลกของเรา แคบ ยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเรามีบัญชีกับ Facebook โปรแกรมมันจะแสดงผลให้เราพบเพื่อนมากมาย อาจจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนจังหวัดเดียวกัน เพื่อนของเพื่อน ฯลฯ

เพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันนานหลายปี ที่อยู่ เบอร์โทรหายไปหมดแล้ว แต่ก็ได้มาพบกันที่ Facebook คนไม่รู้จักแต่มีรสนิยมคล้ายๆกันก็คุยกัน ทักกันได้ กล่าวได้ว่า Facebook ทำให้เรามีเพื่อนมากขึ้น เผลอเดี๋ยวเดียวก็มีรายชื่อเพื่อนในบัญชีเป็นร้อยๆรายแล้ว

เพื่อนมีเยอะแล้ว มี แฟน ดีกว่า นั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเพลงอุดม แต้พานิช แต่เป็นสิ่งที่ผมคิดได้ก่อนเขียนคอลัมน์ครั้งนี้ เพราะแฟนที่ว่าหมายถึง แฟนเพจ ซึ่งก็คือบัญชีของ Facebook ในอีกลักษณะหนึ่ง

แฟนเพจของ Facebook มีลักษณะคล้ายๆเว็บแฟนคลับ มันเหมือนบัญชีบุคคลทั่วไปของ Facebook แต่ไม่ต้องมีการส่งคำขอเป็นเพื่อน แล้วรอการตอบรับ เพียงกดปุ่ม ถูกใจ ท่านก็มาสามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นกับเครือข่ายสังคมนั้นได้ทันที

โดยทั่วไปแล้วคนเรามักมีหลายบทบาท ทั้งตำแหน่งในงานประจำ ครอบครัว ธุรกิจส่วนตัว งานสาธารณะกุศล Facebook ตอบสนองความต้องการนี้ด้วยการที่ให้คนๆหนึ่งนอกจากมีบัญชีส่วนบุคคลแล้ว ยังสามารถมีแฟนเพจได้อีกหลายบัญชี

เมื่อเราเขียนสิ่งใดลงในกระดานข้อความ มันจะปรากฏสู่สายตาเพื่อนในบัญชีของเราทั้งหมด เพื่อนๆได้รู้ความเป็นไปของกันและกันในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้เป็นเสน่ห์ทำให้ Facebook ได้รับความนิยมอย่างสูง

สำหรับใครที่ทำธุรกิจส่วนตัวและที่มีบัญชีบุคคลกับ Facebook อยู่แล้ว ท่านสามารถเพิ่มหน้าแฟนเพจสำหรับหาเพื่อนและว่าที่ลูกค้าขึ้นมาอีกบัญชีได้ เพราะเพื่อนทั่วๆไป เราก็คงอยากคุยเรื่องทั่วไป ไม่อยากนำเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง

สมัครใช้งานฟรีที่ www.facebook.com/pages/create.php

ท่านสามารถสร้างแฟนเพจได้มากกว่า 1 บัญชี และบัญชีต่างๆที่จะสร้างขึ้นก็แบ่งออกเป็น 6 ประเภทตามวัตถุประสงค์การใช้งาน คือ ธุรกิจท้องถิ่น, บริษัทหรือองค์กร,ตรายี่ห้อหรือผลิตภัณฑ์, ศิลปินหรือบุคคลสาธารณะ, บันเทิง, และชุมชน ลองเข้าไปศึกษาดูนะครับ

Facebook เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก และให้ใช้งานฟรี นักธุรกิจใช้แฟนเพจสะสมลูกค้าและว่าที่ลูกค้า นักร้องนักแสดงใช้สะสมแฟนคลับ นักการเมืองใช้สะสมมวลชนเพื่อคะแนนเสียง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

www.facebook.com/bodyslamband แฟนเพจของนักร้องบอดี้สแลม มี 4.5 แสนคน

www.facebook.com/Beckham เดวิด เบคแฮม มี 8.6 ล้านคน

www.facebook.com/Abhisit.M.Vejjajiva นายกอภิสิทธิ์ มี 5.8 แสนคน

www.facebook.com/markzuckerberg มาร์ค เจ้าของเฟสบุ๊คมี 3.6 ล้านคน

Facebook ที่อยู่ในรูปองค์กรธุรกิจยังใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารแบบ 2 ทางกับลูกค้าได้ ใช้ประชาสัมพันธ์สินค้า ประกาศโปรโมชั่น หรือเชิญชวนคนให้ร่วมกิจกรรมต่างๆ การทำตลาดผ่าน Facebook จะมีเครื่องมือหลายอย่างทำให้เกิดการรับรู้ต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด

เช่นมีปุ่ม แบ่งปัน ให้หัวข้อบนแฟนเพจนั้นขึ้นมาอยู่ที่ Facebook ของเราให้เพื่อนเห็น เมื่อเราแสดงความคิดเห็นในหน้าใด เพื่อนของเราก็จะเห็นด้วย เมื่อเพื่อนมาแสดงความเห็นต่อ เพื่อนของเพื่อนก็จะได้เห็นอีก

ข่าวสารข้อมูลจะแพร่กระจายไปจากจอ(คอมพิวเตอร์หรือมือถือ)หนึ่งไปยังเครื่องอื่นๆ จากเพื่อนสู่เพื่อน ปากต่อปาก เหมือนโรคติดต่อที่แพร่เชื้อไปในอากาศ(Viral Marketing) ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่าง แฟนเพจ บนเฟสบุ๊คที่ประสบความสำเร็จต่อไปนี้มีผู้มากดปุ่มถูกใจนับแสนราย

www.facebook.com/gthchannel แฟนเพจค่ายหนัง GTH จะคอยเปลี่ยนรูปประจำตัวเป็นหนังที่กำลังอยู่ในโรงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด มีเมนูวีดีโอของเบื้องหลังการถ่ายทำ นักแสดงนำตอบปัญหาทางบ้าน มีอีเว้นต์ของสินค้าที่สนับสนุนรายการ มีคนกดปุ่มถูกใจ 3.4 แสนรายแล้ว

www.facebook.com/adaymagazine นิตยสารวัยรุ่นค่ายนี้ใช้สื่อออนไลน์ทำการตลาดเข้าได้ถึงกลุ่มเป้าหมาย เพราะธรรมชาติของนิตยสารจะอยู่ได้ด้วยโฆษณา ต้นทุนหนังสือแพงกว่าราคาขาย ยิ่งขายมากยิ่งขาดทุน แต่เมื่อมาอยู่บนเว็บตอนนี้มีคนกดปุ่มถูกใจแล้ว 1.5 แสนราย

www.facebook.com/StarbucksThailand กาแฟสัญชาติยุโรปที่มีสาขาทั่วโลก มีคนไทยหลงใหลในกลิ่นกาแฟอินเตอร์นี้ 1.1 แสนราย เฟสบุ๊คของสตาร์บั๊คประเทศไทยมีเว็บบอร์ดให้คนมาแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ และถามคำถาม

จากตัวอย่างสมมุติค่ายหนัง GTH ทำการตลาดจนคนที่เป็นแฟนคลับแค่ 1 ใน 3 อยากไปดูหนังเรื่องล่าสุด 100,000 คน ไปดูหนังตั๋ว 100 บาท หนังเรื่องนี้ทำรายได้แล้ว 10 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงหนังยังมีการทำประชาสัมพันธ์ทางช่องทางอื่นอีก ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งสิ้น

แฟนเพจของเฟสบุ๊คข้างต้นคงเป็นไอเดียให้ท่านสร้างแฟนเพจของคนเองขึ้นมาได้ นอกจากใช้เผยแพร่ข่าวสารแล้ว แฟนเพจยังใช้เป็นเครื่องมือพาคนเข้าเว็บไซต์ที่ท่านมีอยู่แล้วได้ด้วย ช่วยประหยัดค่าโฆษณาไปได้อีกมาก

อย่างนี้แล้วคงจะเห็นว่า แฟน(เพจ) บน Facebook ช่างน่าคบหาไม่แพ้เพื่อนคนอื่นๆเลยใช่ไหม.

15 มีนาคม 2554

7 เซียน “เศรษฐีออนไลน์”

ก่อนอื่นขอแจ้งข่าวว่าคอลัมน์ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้รวมเล่มเป็นหนังสือเรียบร้อยแล้วครับ ในชื่อเดียวกับคอลัมน์ คือ เศรษฐีออนไลน์ ตามไปอุดหนุนที่ร้านหนังสือใกล้บ้านท่านได้แล้วนะครับ หรือจะซื้อที่เว็บสำนักพิมพ์มติชนก็ได้ส่วนลด 15% ตามที่อยู่นี้ http://tinyurl.com/6bos77y

ผมเขียนคอลัมน์นี้เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วพร้อมๆกับการท่องไปในโลกไซเบอร์ พบสิ่งใดน่าสนใจก็นำมาเล่าต่อกันฟัง ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าบนแผงหนังสือมีเรื่องเกี่ยวกับหารายได้ผ่านเว็บกันบ้างแล้ว แต่ก็เป็นขั้น ลึกไม่มีข้อมูลในแนว กว้าง ที่จะบอกว่าการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตมีอะไรและทำสิ่งใดได้บ้าง

ผมจึงใช้พื้นที่นี้พาผู้อ่านสำรวจแหล่งข้อมูลต่างๆไปด้วยกัน ทั้งเว็บในประเทศและต่างประเทศ พบเรื่องน่าสนใจต่างๆมากมาย รูปแบบการทำธุรกิจออนไลน์ต่างๆ ท่านสามารถร่วมทำธุรกิจกับเขา หรือประยุกต์เอาไอเดียมาทำธุรกิจของตนเองก็ได้ เจตนาของคอลัมน์นี้ต้องการเป็นเหมือนบันไดขั้นต้นที่จะพาผู้ที่สนใจไปสู่ความรู้ชั้นสูงในเรื่องอื่นๆต่อไป

สำหรับชื่อคอลัมน์นั้นผมตั้งให้สอดคล้องกับชื่อนิตยสาร เส้นทางเศรษฐี ด้วยมีเจตนารมณ์เดียวกันคือต้องการแนะนำอาชีพ และส่งเสริมผู้ประกอบการ เพียงแต่คอลัมน์ของผมเป็นอาชีพของผู้ประกอบการในโลกไซเบอร์

คนเขียนคอลัมน์ในนิตยสารเส้นทางเศรษฐี มิได้แปลว่าเป็นเศรษฐี คนเขียนหนังสือเศรษฐีออนไลน์ก็เช่นกัน เราเป็นเพียงผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้อ่านเท่านั้น ไอ้เรื่องทดลองทำเองนั้นก็ทำอยู่ ไม่ได้เสียหาย แต่คงไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมืนคนที่เขาทำจริงจัง

หลายคนคงอยากทราบว่าผมมีรายได้จากอินเตอร์เน็ตเท่าไหร่ บอกได้นิดหน่อย คือ เฉพาะเรื่องร่วมค้าขายกับเว็บอื่น ตั้งแต่ต้นปีผมได้รับเช็คจากต่างประเทศมา 2 ใบคือ www.ClickBank.com และ www.yahoo.com รวมเป็นเงินประมาณประมาณ 200 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ ไม่มากมาย แค่ขำขำ เพราะเราก็ไม่ได้ใช้เวลากับมันเยอะ

พูดถึงคนที่มีรายได้จากอินเตอร์เน็ตเป็นรายได้หลัก อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นเศรษฐีเหมือนเจ้าของเว็บในต่างประเทศ แต่ก็เลี้ยงตัวได้อย่างสบาย ครั้งนี้ผมจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักสัก 7 คน เป็น 7 เซียนที่เข้าขั้นปรมาจารย์ คือเขียนหนังสือและจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้คนมาแล้วมากมาย ดังต่อไปนี้

1.ฉายาของเขาคือเจ้าพ่อ e-commerce เมืองไทย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ เจ้าของเว็บ www.tarad.com เว็บสำเร็จรูปขายสินค้า และให้บริการด้านอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจดโดเมนเนม เช่าโฮสต์ โฆษณา บริการช่องทางชำระเงิน อบรมสัมมนา ผลิตหนังสือ ฯลฯ

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ จบปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมสาสตร์ ม.รังสิต ปริญญาโท 2 ใบจาก ม.อัสสัมชัญ ด้าน Internet & E-Commerce และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตามเว็บส่วนตัวของเขาได้ที่ www.pawoot.com

2.ตราวุฒิ เหลืองสมบูรณ์ ผู้เขียนหนังสือ Google Make Me Rich และ Google AdWords โปรโมทเว็บ(ไซต์)ให้ดังศาสตร์ เป็น นักการตลาดแอฟฟิลิเอท (Affiliate Marketing) อันดับต้นๆของเมืองไทย ครั้งหนึ่งในงานสัมมนา ผมเคยเห็นเขาโชว์เช็คเงินสดจากเว็บที่เขาทำการตลาดให้จำนวน 6 หมื่นเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ(ประมาณ 2 ล้านบาท)

ตราวุฒิสามารถส่งลูกค้ามาสมัครลงโฆษณากับกูเกิ้ล หรือ Google AdWords จำนวนถึง 1,000,000 ราย จนได้ใบรับรองจากกูเกิ้ล เขาเรียนจบวิศวะ สาขาเทเลคอมมิวนิเคชั่น จากพระจอมเกล้าเจ้าลาดกระบัง แล้วไปเรียนต่อปริญญาโท ที่อเมริกา

3. ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ อดีตโปรแกรมเมอร์ของตลาดหลักทรัพย์ และเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทใหญ่ๆหลายแห่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่แคนนาดา เจ้าของเว็บ www.thaiadpoint.com สร้างรายได้ให้กับผู้เล่นเน็ต โดยเป็นสื่อกลางให้กับผู้ลงโฆษณา และผู้เข้าชมเว็บปัจจุบันเว็บแห่งนี้มีสมาชิกกว่า 3 แสนคน มีรายได้จากอินเตอร์เน็ตมากขนาดไหน เอาเป็นว่าเขาและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ(ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก)ได้อย่างไม่เดือดร้อนก็แล้วกัน

4.จอห์น เรดเตอร์ เป็นชื่อในวงการของเขา เจ้าของเว็บ www.Redtor.com บล็อกเกอร์จากเมืองอุบลราชธานี เจ้าของสถิติหาคนเข้าเว็บได้มากสุด 40,000 คน ต่อวัน ได้เงินจาก Adsense มากสุด 46,000 บาทต่อเดือน ได้เงินจาก Amazon มากสุด 210,000 บาทต่อเดือน โดนแบนจากเจ้าของเว็บก็หลายครั้ง มีลีลาการเขียนบล็อกที่ยียวนกวนใจ ชอบแต่งเพลง และนำมาโพสต์ให้ฟังกันบ่อยๆ

5.สิทธิศักดิ์ บุญมาก ผู้เขียนหนังสือ สอนให้รวยด้วย Amazon เจ้าของเว็บ www.makemany.com บล็อกการตลาด นำเสนอข้อมูลข่าวสาร เทคนิคและกลยุทธในการทำการตลาดออนไลน์ การปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับการค้นหา(SEO), สร้างรายได้กับ Amazon ตัวเลขที่โชว์บนเว็บ เขาเคยทำได้ 5,000-8,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเลยทีเดียว

6. พิมพ์พร นรินทร์โท หรือ อ.อ้อ วิทยากรอิสระของหลายสถาบัน เจ้าของเว็บ www.ilearn.in.th แหล่งองค์ความรู้ทางด้าน Internet Marketing Learning Center เช่น สอนวิธีการเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ การสร้างรายได้จากอเมซอน Amazon Associates

7.คนสุดท้าย คือ พีร์ บุญชนะวิวัฒน์ เป็นเซียนหุ้น เจ้าของหนังสือขายดี 7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด เขาเป็น Proprietary Trader ให้กับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อาชีพนี้เปรียบเสมือนมือปืนรับจ้างที่คอยลั่นไกทำกำไรจากตลาดหุ้น ให้กับผู้จ้างวาน ในหนังสือเขียนไว้ว่ารายได้ไม่น้อยหน้าซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่เลย

ติดตามงานของเขาได้ที่ http://wizard-kids2m.blogspot.com

เนื่องจากระยะหลังผมเขียน ถึงการค้า ทองและ ยางพารา ซึ่งเป็น อนุพันธ์ ในกลุ่มของหุ้น สามารถซื้อขายกันทางอินเตอร์เน็ตได้ ใน 7 เซียนเศรษฐีออนไลน์จึงมีกูรูเรื่องหุ้นอยู่ด้วย คงไม่ว่ากันนะครับ

ตัวอย่างบุคคลทั้งหมดนี้คงทำให้คนที่อยากมีธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตมีกำลังใจ และอุ่นใจในการก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้นนะครับ.

.............................................................................................